รู้จัก! Functional Training คืออะไร มีท่าอะไรบ้าง ได้กล้ามเนื้อส่วนไหน?

Functional Training คืออะไร ได้กล้ามส่วนไหน
สารบัญเนื้อหา

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางคนออกกำลังกายแล้วเคลื่อนไหวคล่องตัวขึ้นในชีวิตจริง? คำตอบอาจอยู่ที่การฝึกแบบ Functional Training หรือการออกกำลังกายที่จำลองการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน เช่น เดิน ยกของ หรือบิดตัว ให้ร่างกายแข็งแรงรอบด้านมากกว่าการเน้นกล้ามเนื้อเฉพาะจุด

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักว่า Functional Training คืออะไร?, มี ท่าไหนบ้างที่ควรฝึก? แต่ละท่าได้กล้ามเนื้อส่วนไหน? พร้อมเหตุผลว่าทำไมใคร ๆ ก็หันมาเทรนแบบนี้กันมากขึ้น เพื่อสุขภาพที่ดีและแข็งแรงในชีวิตประจำวันของคุณ

Functional Training คืออะไร?

Functional Training (ฟังก์ชันนอล เทรนนิ่ง) คือ รูปแบบการออกกำลังกายที่เน้นการเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ โดยผสมผสานการใช้กล้ามเนื้อหลายมัดพร้อมกันในท่าทางที่ใกล้เคียงกับกิจกรรมที่เราทำในชีวิตประจำวัน เช่น การยกของ เดิน วิ่ง หมุนตัว หรือย่อ-ลุก จุดเด่นของการฝึกแบบนี้ คือ การช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง ความยืดหยุ่น การทรงตัว และการเคลื่อนไหวที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ร่างกายสามารถตอบสนองต่อการใช้งานในชีวิตจริงได้ดียิ่งขึ้น ทั้งในกิจวัตรทั่วไปหรือกิจกรรมทางกีฬา

ที่มาของ Functional Training

แนวคิดของ Functional Training ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีรากฐานมาจากการบำบัดฟื้นฟูร่างกาย (Rehabilitation) เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บและสามารถกลับมาทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ตามปกติ โดยเน้นการฝึกที่สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวที่ใช้งานจริง เช่น นักกายภาพบำบัดจะให้ผู้ป่วยฝึกท่าที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเขา เป็นต้น

ต่อมาแนวคิดนี้ได้ถูกนำมาปรับใช้กับการฝึกเพื่อเพิ่มสมรรถภาพทางกายในกลุ่มนักกีฬา เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหวที่เฉพาะเจาะจงกับกีฬาแต่ละประเภท และจึงเริ่มได้รับความนิยมแพร่หลายสู่คนทั่วไปในปัจจุบัน เพราะเป็นการฝึกที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตจริง ทำให้ร่างกายแข็งแรงและพร้อมรับมือกับทุกการเคลื่อนไหว

ข้อดีของการออกกำลังกายแบบ Functional Training มีอะไรบ้าง?

การออกกำลังกายแบบ Functional Training มีประโยชน์มากมายที่ส่งผลดีต่อร่างกายและชีวิตประจำวันของเรา ดังนี้

  • ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและคล่องตัวในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การยกของหนัก การเดินขึ้นบันได การหยิบของจากพื้น หรือแม้แต่การเล่นกับลูก
  • เพิ่มความแข็งแรงและความทนทาน ด้วยการฝึกให้กล้ามเนื้อหลายส่วนทำงานพร้อมกัน ทำให้เกิดความแข็งแรงที่ใช้งานได้จริง ไม่ใช่แค่ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมัดเดี่ยว ๆ
  • เสริมสร้างการทรงตัวและความคล่องตัว เพราะท่าทางการฝึกมักเกี่ยวข้องกับการทรงตัวและการเคลื่อนไหวหลายทิศทาง ช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง
  • เมื่อร่างกายแข็งแรงและมีการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง จะช่วยลดโอกาสในการบาดเจ็บจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันหรือจากการเล่นกีฬาได้
  • ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ดี เนื่องจากการใช้กล้ามเนื้อหลายส่วนพร้อมกัน ทำให้ร่างกายใช้พลังงานมากกว่าการฝึกแบบแยกส่วน จึงช่วยในการลดน้ำหนักและควบคุมรูปร่างได้ดี
  • สำหรับนักกีฬา การฝึกแบบ Functional Training จะช่วยพัฒนาสมรรถภาพที่จำเป็นสำหรับกีฬาที่เล่น ทำให้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้นและลดความเสี่ยงบาดเจ็บ

การออกกำลังกายแบบ Functional Training เหมาะกับใครบ้าง?

Functional Training เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย และทุกระดับความสามารถ ตั้งแต่ผู้เริ่มต้นออกกำลังกายไปจนถึงนักกีฬามืออาชีพ ได้แก่

  • ผู้ที่ต้องการพัฒนาสมรรถภาพร่างกายในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะทำงานออฟฟิศ หรือใช้ชีวิตปกติ การฝึกนี้ช่วยให้คุณใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น และแข็งแรงขึ้น
  • ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักและกระชับสัดส่วน การเผาผลาญพลังงานสูงจากการใช้กล้ามเนื้อหลายส่วนจะช่วยให้เห็นผลลัพธ์เร็วขึ้น
  • นักกีฬา การฝึกนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหวที่ใช้ในกีฬา และลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกายจากอาการบาดเจ็บ เพราะการฝึกนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการทำกายภาพบำบัด เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้กลับมาเคลื่อนไหวได้ปกติ (ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดก่อนออกกำลังกาย เพราะหากฝึกเองอาจเสี่ยงต่อการทำผิดท่า และบาดเจ็บได้)
  • ผู้สูงอายุ การฝึกนี้จะช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อ พัฒนาการทรงตัว และลดความเสี่ยงในการหกล้ม

Functional Training ต่างจากโปรแกรมออกกำลังกายอื่นยังไง?

ความแตกต่างหลัก ๆ ของ Functional Training เมื่อเทียบกับโปรแกรมออกกำลังกายแบบอื่น เช่น การยกเวทแบบแยกส่วน (Isolation Training) หรือการฝึกคาร์ดิโอทั่วไป คือ

  • เน้นการเคลื่อนไหวแบบองค์รวม (Compound Movements) แทนที่จะแยกฝึกกล้ามเนื้อทีละส่วน (เช่น การยก Biceps Curl ที่เน้นแค่ Biceps) Functional Training จะเน้นท่าที่ใช้กล้ามเนื้อหลายกลุ่มทำงานร่วมกัน คล้ายกับการเคลื่อนไหวในชีวิตจริง
  • เป้าหมายหลักของการออกกำลังกายแบบนี้ คือ การทำให้ร่างกายพร้อมสำหรับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันหรือในกิจกรรมกีฬา ไม่ใช่แค่การสร้างกล้ามเนื้อให้ใหญ่ขึ้นอย่างเดียว
  • พัฒนาความสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อ (Muscle Coordination) ให้กล้ามเนื้อเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การเคลื่อนไหวราบรื่นและมีพลังมากยิ่งขึ้น
  • อาจใช้อุปกรณ์ที่หลากหลายและแปลกตา เช่น Kettlebells, Medicine Balls, Resistance Bands, TRX, หรือแม้แต่น้ำหนักตัว เพื่อเลียนแบบแรงต้านหรือสภาวะที่พบเจอในชีวิตจริง
  • นอกจากความแข็งแรงแล้ว ก็ยังพัฒนาด้านอื่น ๆ เช่น ความยืดหยุ่น การทรงตัว ความคล่องตัว และความทนทานของระบบหัวใจและหลอดเลือดไปพร้อม ๆ กันด้วย

ท่าออกกำลังกายแบบ functional training มีอะไรบ้าง?

Functional Training มีท่าที่หลากหลายและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม โดยเน้นการเคลื่อนไหวที่ใช้งานได้จริง ดังตัวอย่างท่าพื้นฐานยอดนิยม อาทิ

1. ท่า Squat (สควอท)

ท่าพื้นฐานที่สำคัญที่สุดท่าหนึ่งในการฝึก Functional Training เพราะเป็นการเลียนแบบการนั่งลงและยืนขึ้น ซึ่งใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน

  • ลักษณะท่า: ยืนแยกเท้ากว้างประมาณหัวไหล่ ปลายเท้าชี้ไปข้างหน้าเล็กน้อย จากนั้นค่อย ๆ ย่อสะโพกลงเหมือนจะนั่งเก้าอี้ โดยรักษาหลังให้ตรง หน้าอกเชิดขึ้น เข่าไม่เลยปลายเท้า จากนั้นดันตัวกลับขึ้นมายืนตรง
  • กล้ามเนื้อส่วนที่ได้ผลจากท่านี้: กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (Quadriceps), ต้นขาด้านหลัง (Hamstrings), สะโพก (Glutes) รวมถึงกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core) ในการรักษาเสถียรภาพ
  • จำนวนเซ็ต: 3 เซ็ต เซ็ตละ 10-15 ครั้ง (สำหรับผู้เริ่มต้น)

2. ท่า Lunge (ลันจ์)

ท่านี้เป็นการเคลื่อนไหวที่เลียนแบบการก้าวเดิน หรือการลงน้ำหนักที่ขาข้างเดียว

  • ลักษณะท่า: ยืนตรง ก้าวขาข้างหนึ่งไปข้างหน้า แล้วย่อเข่าทั้งสองข้างลง โดยให้เข่าหน้าตั้งฉากกับพื้น และเข่าหลังเกือบแตะพื้น รักษาลำตัวให้ตั้งตรง จากนั้นดันตัวกลับมายืนในท่าเริ่มต้น แล้วสลับข้าง
  • กล้ามเนื้อส่วนที่ได้ผลจากท่านี้: กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (Quadriceps), ต้นขาด้านหลัง (Hamstrings), สะโพก (Glutes) และช่วยพัฒนาการทรงตัว
  • จำนวนเซ็ต: 3 เซ็ต เซ็ตละ 8-12 ครั้งต่อข้าง

3. ท่า Push-up (วิดพื้น)

ท่านี้เป็นการเลียนแบบการผลัก หรือการดันตัวออกจากพื้น โดยใช้กล้ามเนื้อหลายส่วนพร้อมกัน

  • ลักษณะท่า: นอนคว่ำหน้า มือวางราบกับพื้นใต้หัวไหล่เล็กน้อย ปลายนิ้วชี้ไปข้างหน้า ดันตัวขึ้นให้ลำตัวเป็นเส้นตรงตั้งแต่ศีรษะจรดส้นเท้า (หรือวางเข่าลงพื้นสำหรับผู้เริ่มต้น) แล้วค่อย ๆ ย่อศอกลงให้หน้าอกเกือบแตะพื้น แล้วดันตัวกลับขึ้นไป
  • กล้ามเนื้อส่วนที่ได้ผลจากท่านี้: กล้ามเนื้อหน้าอก (Pectoralis), หัวไหล่ (Deltoids), หลังแขน (Triceps) และกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core)
  • จำนวนเซ็ต: 3 เซ็ต ทำเท่าที่ทำไหว หรือ 8-15 ครั้ง

4. ท่า Plank (แพลงก์)

ท่า Isometric Exercise ที่เน้นความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ซึ่งสำคัญต่อการทรงตัวและป้องกันอาการปวดหลัง

  • ลักษณะท่า: นอนคว่ำ วางศอกลงบนพื้นใต้หัวไหล่ แขนท่อนล่างวางราบกับพื้น ปลายเท้าจิกลงพื้น ยกสะโพกขึ้นให้ลำตัวเป็นเส้นตรงตั้งแต่ศีรษะจรดส้นเท้า เกร็งหน้าท้องและบั้นท้ายค้างไว้ ไม่ให้สะโพกหย่อนหรือโด่งเกินไป
  • กล้ามเนื้อส่วนที่ได้ผลจากท่านี้: กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core) โดยเฉพาะหน้าท้องและหลังส่วนล่าง รวมถึงหัวไหล่และสะโพก
  • จำนวนเซ็ต: 3 เซ็ต ค้างไว้เซ็ตละ 30-60 วินาที

5. ท่า Deadlift (เดดลิฟท์)

เป็นการเลียนแบบการยกของจากพื้น ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนและต้องใช้กล้ามเนื้อหลายส่วน

  • ลักษณะท่า: เริ่มต้นด้วยการยืนตัวตรง เท้าแยกความกว้างประมาณช่วงสะโพก มือทั้งสองข้างจับดัมเบล ไว้บริเวณด้านหน้าต้นขา จากนั้นค่อย ๆ โน้มตัวลงไปข้างหน้า โดยเน้นการพับสะโพกไปด้านหลัง และงอเข่าเพียงเล็กน้อย สิ่งสำคัญ คือ การรักษาแนวหลังให้ตรงตลอดเวลา ปล่อยให้เวทเคลื่อนต่ำลงไปตามแนวขาจนใกล้พื้น (หรือเท่าที่ร่างกายยืดหยุ่นไหวโดยที่หลังไม่โค้งงอ) เมื่อถึงจุดล่างสุด ให้ใช้แรงจากสะโพก และต้นขา ดันตัวกลับขึ้นสู่ท่ายืนตรงอย่างมั่นคง โดยเกร็งกล้ามเนื้อสะโพกไว้เมื่อยืนขึ้นสุด
  • กล้ามเนื้อส่วนที่ได้ผลจากท่านี้: กล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง (Lower Back), สะโพก (Glutes), ต้นขาด้านหลัง (Hamstrings) และกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core) รวมถึงกล้ามเนื้อหลังส่วนบนและแขนในการประคองน้ำหนัก
  • จำนวนเซ็ต: 3 เซ็ต เซ็ตละ 8-12 ครั้ง (ควรเริ่มต้นด้วยน้ำหนักเบาและเรียนรู้ท่าที่ถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญก่อน เพราะหากทำผิดพลาดอาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บได้)

6. ท่า Overhead Press (โอเวอร์เฮด เพรส)

เป็นการเลียนแบบการยกของขึ้นเหนือศีรษะ เช่น การวางของบนชั้นสูง

  • ลักษณะท่า: เริ่มต้นด้วยการยืนตัวตรง หลังเหยียดตรงอย่างมั่นคง ถือดัมเบล ไว้ที่ระดับหัวไหล่ โดยให้ฝ่ามือหันเข้าหากัน หรือหันไปด้านหน้า จากนั้นหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมเกร็งกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวเพื่อสร้างความมั่นคง และค่อย ๆ ออกแรงผลักน้ำหนักขึ้นไปเหนือศีรษะจนแขนเหยียดตรงเต็มที่ สิ่งสำคัญ คือ ต้องไม่แอ่นหลัง หรือโยกตัว เพื่อส่งแรงยกขึ้นไป เมื่อยกขึ้นสุดแล้ว ให้ค่อย ๆ ควบคุมน้ำหนักให้เคลื่อนที่กลับลงมาอย่างช้า ๆ สู่ตำแหน่งเริ่มต้นที่ระดับไหล่
  • กล้ามเนื้อส่วนที่ได้ผลจากท่านี้: หัวไหล่ (Deltoids), หลังแขน (Triceps) และกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core) ในการรักษาเสถียรภาพ
  • จำนวนเซ็ต: 3 เซ็ต เซ็ตละ 8-12 ครั้ง

7. ท่า Farmer’s Walk (ฟาร์มเมอร์ วอล์ค)

เป็นการเลียนแบบการหิ้วของหนักเดิน ซึ่งช่วยพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย

  • ลักษณะท่า: เริ่มด้วยการยืนตัวตรง หลังเหยียดมั่นคง ถือดัมเบลที่มีน้ำหนักท้าทายแต่ยังควบคุมได้ในมือข้างเดียว จากนั้นเกร็งแกนกลางลำตัวให้มั่นคง และเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ โดยควบคุมจังหวะ และพยายามรักษาลำตัวให้ตั้งตรงตลอดการเดิน ไม่เอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง การเดินอย่างมีสติจะช่วยให้คุณรู้สึกถึงการทำงานของกล้ามเนื้อต่าง ๆ ที่ช่วยพยุงน้ำหนักและรักษาสมดุล
  • กล้ามเนื้อส่วนที่ได้ผลจากท่านี้: กล้ามเนื้อจับมือและแขน (Grip Strength), หัวไหล่ (Shoulders), หลังส่วนบน (Upper Back), กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core) และกล้ามเนื้อขา
  • จำนวนเซ็ต: 3 เซ็ต เดินเป็นระยะทาง 20-50 เมตร หรือจับเวลา 30-60 วินาที

8. ท่า Turkish Get-Up (เตอร์กิช เก็ทอัพ)

เป็นท่าที่ซับซ้อนและใช้การเคลื่อนไหวแบบองค์รวมอย่างแท้จริง โดยการเปลี่ยนผ่านจากท่านอนไปสู่ท่ายืน เพื่อฝึกการควบคุมร่างกายและการทรงตัวที่ดีเยี่ยม

  • ลักษณะท่า: เริ่มที่ท่านอนหงาย ถือดัมเบลไว้ในมือข้างใดข้างหนึ่ง แล้วเหยียดแขนนั้นขึ้นตรงเหนือศีรษะ งอเข่าข้างเดียวกับแขนที่ถือเวทขึ้นมาวางเท้าแนบพื้น ส่วนแขนและขาอีกข้างให้เหยียดตรงแนบพื้น จากนั้นค่อย ๆ ลุกขึ้นทีละส่วน อย่างมีสติและควบคุมการทรงตัว จนกระทั่งร่างกายตั้งตรงในท่ายืน โดยที่แขนซึ่งถือเวทยังคงชูขึ้นเหนือศีรษะตลอดเวลา ความท้าทายของท่านี้จะอยู่ที่การควบคุมการเคลื่อนไหวและรักษาสมดุลในทุกขั้นตอน ก่อนจะค่อย ๆ ลดตัวกลับสู่ท่าเริ่มต้น อย่างช้า ๆ และมีสมาธิ
  • กล้ามเนื้อส่วนที่ได้ผลจากท่านี้: กล้ามเนื้อทั่วร่างกาย ตั้งแต่แกนกลางลำตัว หัวไหล่ สะโพก ต้นขา และช่วยพัฒนาการประสานงานของร่างกาย การทรงตัว และความมั่นคง
  • จำนวนเซ็ต: 3 เซ็ต เซ็ตละ 3-5 ครั้งต่อข้าง (เป็นท่าที่ต้องฝึกฝนอย่างมากและควรมีผู้เชี่ยวชาญแนะนำ)

ประโยชน์ของ Functional Training มีอะไรบ้าง?

การออกกำลังกายแบบ Functional Training มีประโยชน์มากมายที่ส่งผลดีต่อร่างกายและชีวิตประจำวันของเรา ดังนี้

  • พัฒนาการเคลื่อนไหวในชีวิตจริง ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและคล่องตัวในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การยกของหนัก การเดินขึ้นบันได หรือการหยิบของจากพื้น 
  • เพิ่มความแข็งแรงและความทนทานให้กล้ามเนื้อหลายส่วนทำงานพร้อมกันได้อย่างสมูท 
  • เสริมสร้างการทรงตัวและความคล่องตัว ช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงท่าทางได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง
  • ลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ เมื่อร่างกายแข็งแรงและมีการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง จะช่วยลดโอกาสในการบาดเจ็บจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันหรือจากการเล่นกีฬาได้
  • เผาผลาญพลังงานได้ดี เนื่องจากการใช้กล้ามเนื้อหลายส่วนพร้อมกัน ทำให้ร่างกายใช้พลังงานมากกว่าการฝึกแบบแยกส่วน 
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นกีฬา ทำให้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้นและลดความเสี่ยงบาดเจ็บ

แชร์! ข้อควรรู้ก่อนเริ่มออกกำลังกาย Functional Training

ก่อนที่คุณจะเริ่มออกกำลังกายแบบ Functional Training มีข้อควรรู้บางประการที่จะช่วยให้การฝึกของคุณปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ดังนี้

  • หากคุณเป็นมือใหม่ ควรเริ่มต้นด้วยท่าพื้นฐานและน้ำหนักตัว หรือน้ำหนักที่เบามาก ๆ เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวและเรียนรู้การเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง
  • ให้ความสำคัญกับท่าทางที่ถูกต้อง เพราะจะช่วยป้องกันการบาดเจ็บและทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือชมคลิปสอนท่าที่เชื่อถือได้
  • ฟังเสียงร่างกายของคุณ อย่าฝืนออกกำลังกายเมื่อรู้สึกเจ็บปวด เพราะอาจนำไปสู่การบาดเจ็บได้  และควรพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้เวลาร่างกายฟื้นตัว
  • เพิ่มความเข้มข้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เมื่อร่างกายเริ่มแข็งแรงขึ้น ด้วยการเพิ่มจำนวนครั้ง เซ็ต หรือน้ำหนักที่ใช้ หรือลองท่าที่ซับซ้อนมากขึ้น
  • ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • หากคุณไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร หรือต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและปลอดภัย การมีเทรนเนอร์ฟิตเนสประจำตัวที่มีความรู้ด้าน Functional Training โดยเฉพาะจะช่วยให้คุณฝึกได้อย่างถูกวิธีและมีประสิทธิภาพสูงสุด

สรุป

Functional Training ไม่ใช่แค่การสร้างกล้ามเนื้อ แต่คือการจำลองและฝึกฝนท่าทางที่เราใช้จริงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการยกของหนัก ๆ ขึ้นชั้น, การหมุนตัวหยิบของ หรือแม้แต่การลุกนั่งจากพื้นอย่างมั่นคง การฝึกแบบนี้จะช่วยให้ร่างกายของคุณทำงานได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีประสิทธิภาพสูงสุด

และไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นออกกำลังกาย หรือมีเป้าหมายเฉพาะด้าน การฝึก Functional Training ก็สามารถปรับให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้อย่างลงตัว เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพได้ดีและช่วยเสริมความแข็งแรงได้ในระยะยาว

หากคุณกำลังมองหาผู้ช่วยในการเริ่มต้นหรือพัฒนาการฝึกของคุณ การปรึกษาเทรนเนอร์ฟิตเนส หรือ เทรนเนอร์ฟิตเนสส่วนตัวอย่าง Personal Trainer Thailand  คือทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าจะออกกำลังกายได้อย่างถูกวิธีและบรรลุเป้าหมายสุขภาพของคุณได้อย่างปลอดภัย